- Home
- ข้อควรรู้ในการเดินทาง/พำนักอาศัย
- การมาทำงาน
การทำงานนวดแผนไทยในสโลวาเกีย
ปัจจุบัน มีแนวโน้มที่หญิงไทยสนใจจะมาทำงานเป็นพนักงานนวดแผนโบราณในโรงแรม และสปาในประเทศสโลวาเกีย ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศยุโรปตะวันออกเพิ่มมากขึ้น สาเหตุสำคัญเนื่องจากเหตุผลทางเศรษฐกิจ หลายคนได้รับการชักชวนจากบรรดาหญิงไทยที่ปัจจุบันทำงานเป็นพนักงานนวดในสโลวาเกียอยู่แล้ว บางส่วนทราบข่าวจากโรงเรียนสอนนวดแผนไทย อาทิ วัดโพธิ์ และโรงเรียนสอนนวดตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการทั่วไป โดยเมื่อกลุ่มหญิงไทยเหล่านี้เข้าไปเรียนในสถาบันดังกล่าว จะมีนายหน้าเข้าไปชักชวนให้เดินทางมาทำงานในสโลวาเกีย โดยเสนอเงินเดือนเป็นสิ่งล่อใจ และมีบางส่วนที่ ทราบข่าวจากการประกาศลงโฆษณา โดยมีตัวแทนของบริษัทผู้ประกอบการในสโลวาเกียที่ทำงานอื่นใน ประเทศไทยเป็นผู้ดำเนินเรื่องในการเดินทางให้
ในการเดินทางมาทำงานในสโลวาเกียเพื่อเป็นพนักงานนวดนี้ แตกต่างจากการไปทำงานต่างประเทศของแรงงานไทยในประเทศอื่น ๆ เช่น ไต้หวัน หรือ เกาหลีใต้ ที่ดำเนินการผ่านบริษัทจัดหางาน ที่คนงานอาจต้องจ่ายค่าบริการให้แก่บริษัทจัดหางานเหล่านั้นก่อนเดินทาง แต่ในกรณีของสโลวาเกีย จะดำเนินการในลักษณะการทำสัญญาจ้างงานโดยตรงระหว่างแรงงานไทยกับนายจ้างหรือบริษัทผู้ประกอบการ ไม่ผ่าน บริษัทจัดหางาน โดยนายจ้างหรือผู้ประกอบการในสโลวาเกียจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายบัตรโดยสารเครื่องบิน ค่าวีซ่า ค่าดำเนินการเอกสาร ฯลฯ และนายจ้างหรือผู้ประกอบการจะให้แรงงานไทยเหล่านี้ลงชื่อในสัญญาจ้างงาน ซึ่งส่วนใหญ่จะมีข้อความที่เป็นมาตรฐาน ไม่ขัดกับกฎหมายแรงงานสโลวาเกีย อาทิ กำหนดชั่วโมงการทำงาน ไม่เกิน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ นายจ้างเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไป-กลับ นายจ้างรับผิดชอบเรื่อง ที่พัก อาหาร การเดินทาง บัตรโดยสารเครื่องบินไป-กลับเมืองไทยเมื่อทำงานครบ 1 ปี และแรงงานไทยเหล่านี้จะยอมลงนามในสัญญาฯ โดยไม่ต่อรองหรือเรียกร้องสิทธิประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้น แม้ว่าบางสัญญาฯ จะมีข้อความบางส่วนที่ไม่มีการแจกแจงรายละเอียด และมีนัยเป็นการเอาเปรียบแรงงาน โดยมีความหวังว่า จะได้มาทำงานต่างประเทศ ได้รับค่าตอบแทนสูง ตามที่ระบุในสัญญาจ้างงาน ซึ่งมีการระบุอัตราการจ้างงานแตกต่างกันไประหว่าง 500-700 ยูโรต่อเดือน ทั้งนี้ สัญญาจ้างงานส่วนใหญ่จะทำเป็นภาษาสโลวัก โดยมีคำแปลภาษาอังกฤษกำกับ
แรงงานไทยหลายรายโชคดีที่นายจ้างยินยอมปฏิบัติตามสัญญาจ้างงาน แต่ก็มีหลายรายที่ถูกเอาเปรียบแรงงาน เท่าที่สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้รับการร้องเรียน คือ นายจ้างใช้ให้ทำงานตั้งแต่วันแรกที่เดินทางถึงที่พัก ต้องทำงานเกินกว่าสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุด เงินเดือนได้รับไม่ตรงตามที่ระบุในสัญญา โดยนายจ้างอ้างว่าหักเป็นค่าใช้จ่ายที่นายจ้างได้จ่ายให้ล่วงหน้าเป็นค่าบัตรโดยสาร เครื่องบิน ค่าวีซ่า ค่าดำเนินเรื่องและค่าเอกสาร ค่าประกันสังคม ประกันสุขภาพ โดยนายจ้างไม่แจกแจง รายละเอียดการทำงาน การทำงานล่วงเวลา แต่เหมาจ่ายเป็นรายเดือน
สำหรับเงินเดือนที่ได้รับ หญิงไทยเหล่านี้ต้องเจียดเป็นค่าอาหาร เนื่องจากไม่สามารถรับประทานอาหารที่นายจ้างจัดหาได้ และอาหารที่ซื้อเป็นอาหารและเครื่องปรุงไทยที่มีราคาสูงมากตามอัตราค่าครองชีพ อาทิ ข้าวสาร 18 กิโลกรัม ราคา 40 ยูโร หรือประมาณ 1,720 บาท น้ำปลาขวดละ 2 ยูโร จึงทำให้หญิงไทยเหล่านี้แทบไม่เหลือเงินเก็บเพื่อส่งกลับให้ครอบครัวในประเทศไทยเลย และไม่กล้าที่จะบอกครอบครัวทางเมืองไทยถึงความยากลำบากในการดำรงชีวิตในต่างแดน ทั้งสภาพอากาศที่หนาวเย็น อุปสรรคในด้าภาษา ปัญหานายจ้าง และเพื่อนร่วมงาน บางคนหาทางออกโดยการเสพสุราและของมึนเมา
นอกจากนี้ โดยที่สถานที่ทำงานของพนักงานนวดเหล่านี้มักเป็นโรงแรมหรือสปาที่ตั้งอยู่ในเขตที่มีน้ำพุร้อนหรือโคลนร้อน ซึ่งเป็นสถานที่พักผ่อนที่มีชื่อเสียงของคนในยุโรป ดังนั้น พนักงานนวดที่ต้องแยกย้ายกันไปทำงานในสาขาต่าง ๆ ของกลุ่มธุรกิจสปาเหล่านี้ หลายคนต้องอยู่คนเดียวในสถานที่ห่างไกลจากเมือง หาซื้อของลำบาก งานหนัก ไม่มีเพื่อนคุยผ่อนคลาย ทำให้เกิดความเครียดและกดดันสูง นอกจากนี้ การที่ต้องทำงานหนัก เนื่องจากมีพนักงานนวดน้อย ทำให้พนักงานบางคนเกิดการอักเสบที่กล้ามเนื้อมือและแขน ซึ่งบางครั้งนายจ้างก็ดูแล แต่คนที่โชคไม่ดีก็ต้องทนทำงานต่อไป และโดยที่ผู้มาใช้บริการส่วนใหญ่เป็นชาวตะวันตกที่มีรูปร่างใหญ่ และต้องการให้ลงน้ำหนักนวดแรง ทำให้พนักงานนวดต้องใช้แรงมากขึ้น เนื่องจากลูกค้าเหล่านี้มักเรียกร้องให้ทำตามที่ตนต้องการ และนายจ้างก็จะออกกฎอย่างเคร่งครัดให้พนักงานต้องทำตามความประสงค์ของลูกค้า
ดังนั้น เพื่อเป็นการเตรียมตัวให้พร้อมก่อนมาทำงาน สถานเอกอัครราชทูตฯ ขอแนะนำให้แรงงานไทยทุกคนศึกษาข้อมูลด้านล่าง ดังนี้
ข้อควรรู้สำหรับแรงงานไทยที่ประสงค์จะมาทำงานนวดแผนไทยในสโลวาเกีย
1. ในการเดินทางออกมาทำงานที่สโลวาเกีย เจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานที่ประจำที่สนามบินสุวรรณภูมิจะตรวจสอบเอกสารของแรงงานไทย ว่ามีสัญญาจ้างงานที่สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ ประทับตรารับรองแล้วหรือยัง หากยัง เจ้าหน้าที่จะไม่อนุญาตให้แรงงานไทยเดินทางออกนอกประเทศ ดังนั้น แรงงานไทยจะต้องดำเนินการเรื่องเอกสารให้สมบูรณ์ก่อน จึงจะสามารถเดินทางมาทำงานที่สโลวาเกีย ได้อย่างถูกต้อง
2. แรงงานไทยต้องตรวจสอบรายละเอียดในสัญญาจ้างงานให้ถี่ถ้วน (ดูแนวทางการรับรองสัญญาจ้างงานใน website ของสถานเอกอัครราชทูตฯ : www.thaiembassy.at) โดยเฉพาะในประเด็นการทำงานและสิทธิประโยชน์ของตนเอง ได้แก่ เงินเดือน ชั่วโมงการทำงานต่อสัปดาห์ ค่าตอบแทนการทำงานล่วงเวลา วันหยุดประจำสัปดาห์ เวลาหยุดพักระหว่างวัน ที่พัก อาหาร การจ่ายเงิน ประกันสังคม ประกันสุขภาพ วันหยุดประจำปี การยุติสัญญาจ้างงาน เงินชดเชยกรณีลูกจ้างละเมิด สัญญาจ้างงาน ฯลฯ ไม่ควรหลงเชื่อบุคคลที่มาชักชวนให้มาทำงานที่มักอ้างว่า ให้ลงนามในสัญญาฯ ไป ก่อน เนื่องจากเมื่อเกิดการเอาเปรียบแรงงานและมีการฟ้องร้องขึ้น นายจ้างจะยึดเอาสัญญาจ้างงานที่แรงงานไทยได้ลงลายมือชื่อเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นหลักฐานประกอบในการต่อสู้คดี
3. ในการลงนามในสัญญาจ้างงาน นอกเหนือจากการลงลายมือชื่อในตอนท้ายของ สัญญาฯ แรงงานไทยควรลงลายมือชื่อกำกับด้านล่างของสัญญาทุกหน้า เนื่อจากปัจจุบัน มีการตรวจพบว่า นายจ้างบางรายได้แก้ไขตัวเลขในสัญญาฯ บางข้อ อาทิ ระยะเวลาจ้างงานจาก 1 ปี เป็น 2 ปี
4. ในการลงนามในสัญญาจ้างงาน ขอให้แรงงานไทยเป็นผู้ลงนามเอง หากมีการตรวจ พบว่า แรงงานไทยได้ให้ผู้อื่นปลอมลายมือชื่อลงนามในสัญญาจ้างงานให้ สถานเอกอัครราชทูตฯ จะถือว่าบุคคลผู้นั้นได้ยื่นเอกสารเท็จต่อเจ้าพนักงาน สถานเอกอัครราชทูตฯ จะไม่รับรองเอกสารการจ้างงานฯ ดังกล่าว และจะบันทึกรายชื่อทั้งบุคคลที่ปลอมแปลงลายมือชื่อ และบุคคลที่ยินยอมให้ผู้อื่นปลอมแปลง ลายมือชื่อของตนแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
5. เตรียมความพร้อมในด้านภาษาพื้นฐาน (ภาษาอังกฤษ หรือ ภาษาท้องถิ่น) สุขภาพ กาย และสุขภาพจิต เนื่องจากการมาทำงานในต่างแดน ต้องเผชิญความกดดันในการปรับตัวเข้ากับ สภาพแวดล้อมใหม่ การดำรงชีวิต อาหาร และอุปสรรคในด้านภาษา
6. ควรสมัครเป็นสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศที่กระทรวงแรงงาน เพื่อสิทธิประโยชน์และความคุ้มครองจากเงินกองทุนฯ ตามบทบัญญัติระเบียบกระทรวง แรงงานว่าด้วยการบริหารกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ พ.ศ. 2549
7. กรณีเข้าทำงานแล้วหากนายจ้างเรียกร้องให้ลงนามในสัญญาจ้างงานใหม่ แรงงานไทยจะต้องตรวจสอบรายละเอียดในสัญญาจ้างงานให้รอบคอบ และพึงระลึกเสมอว่า สัญญาฯ ที่นายจ้างให้ลงนามใหม่ส่วนใหญ่จะมีข้อความที่แตกต่างจากสัญญาฯ ฉบับเดิม และมีการเอาเปรียบแรงงาน ดังนั้น จึงไม่ควรที่จะลงนามใดๆ ในสัญญาฯ อื่นๆ อีก โดยต้องยืนยันกับนายจ้างว่า สัญญาฯ ฉบับเดิมยังคงมีผลใช้บังคับอยู่
8. เมื่อเข้ามาทำงานในสโลวาเกียแล้ว พึงระลึกไว้เสมอว่า หากวีซ่าการทำงานขาด หรือหมดอายุ หมายถึงว่า สิทธิในการพำนักในสโลวาเกียได้สิ้นสุดลงเช่นกัน การที่แรงงานไทยจะเปลี่ยนงานจากบริษัทหนึ่งไปยังอีกบริษัทหนึ่ง โดยไม่แจ้งนายจ้างเก่า นายจ้างเก่ามีสิทธิที่จะยกเลิกวีซ่าเดิม ซึ่ง หมายความว่า แรงงานไทยพำนักอยู่ในสโลวาเกียอย่างผิดกฎหมาย และเจ้าหน้าที่ตำรวจมีสิทธิจับกุมในฐานะผู้พำนักอยู่ในประเทศอย่างผิดกฎหมาย (ปัจจุบันนายจ้างหลายรายได้ใช้วิธีลัด โดยไม่ต้อการเสียค่าใช้จ่ายสำหรับบัตรโดคยสารเครื่องบิน และค่าดำเนินเอกสาร จึงเสนอเงินเดือนให้ในอัตราที่สูงกว่านายจ้างเก่า ซึ่งแรงงานไทยบางคนเลือกไปทำงานกับนายจ้างใหม่ด้วยแรงจูงใจดังกล่าว โดยไม่ปฏิบัติตามกฎหมายท้องถิ่นที่กำหนดให้แจ้งนายจ้างเก่าทราบล่วงหน้าก่อน 2 เดือน หรือตามระยะเวลาที่ระบุในสัญญาฯ ซึ่ง ทำให้เกิดการฟ้องร้องดำเนินคดี และนายจ้างเก่าแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้จับกุมแรงงานไทยดังกล่าว)
9. กรณีแรงงานไทยกระทำการใด ๆ โดยพลการ โดยเฉพาะในข้อ 8 ข้างต้น ซึ่งเป็นการขัดกับสัญญาจ้างงานฯ และมาเรียกร้องให้สถานเอกอัครราชทูตฯ ให้ความช่วยเหลือภายหลังนั้น สถานเอกอัครราชทูตฯ ไม่อยู่ในฐานะที่จะดำเนินการใด ๆ ได้ ดังนั้น จึงควรหารือเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตฯ ในเบื้องต้นก่อน เพื่อป้องกันปัญหาการฟ้องร้องจากนายจ้างที่จะเกิดตามมา
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเวียนนา
1 ตุลาคม 2563